[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง

ทำอย่างไรให้ไกลไข้หวัดใหญ่

มื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว ผมได้เขียนเตือนท่านผู้อ่านเรื่องไข้หวัดระบาด ตอนนี้ก็ต้องเตือนอีกครั้งหนึ่ง เพราะไข้หวัดกลับมาระบาดอีกแล้ว

ว่ากันที่จริงการกลับมาคราวนี้เป็นครั้งที่สาม และยิ่งกลับมาอีกซ้ำๆ เชื้อของมันก็จะพัฒนาตัวเองให้แข็งแรง และมีพิษร้ายยิ่งขึ้น

ตอนนี้อยู่ๆ ฝนฟ้าก็ตกมาผิดฤดูกาลเสียด้วย อากาศซึ่งชื้นแฉะอยู่แล้ว ทำให้ตัวเชื้อหวัดใหญ่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น เราต้องมาคุยกันอีกทีแล้ว ว่าเราควรจะป้องกันตัวเราอย่างไรดี

ก่อนอื่นดูอาการของไข้หวัดใหญ่เสียก่อนนะครับ อาการซึ่งค่อนข้างจะแน่นอน สำหรับไข้หวัดใหญ่ก็คือ

- มีไข้ และหนาวกระดูกสันหลังสลับกัน

- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดตัว

- ไอ มีเสมหะเล็กน้อย หรือไม่มีเลย

- เจ็บคอ

- เสียงแหบ

- น้ำมูกไหล

- ปวดหัว

- อ่อนเพลีย หมดแรง

สาเหตุของไข้หวัดใหญ่ เพราะมีไวรัสในกลุ่ม MYXOVIRUS ซึ่งเป็นไวรัสประเภทเป็นน้ำ และเป็นเมือกเข้ามาอยู่ในตัวเรา การติดเกิดขึ้นได้อย่างเดียว เพราะการสัมผัสหรือเพราะหายใจเอาเชื้อเข้าไป

ทีนี้ก็มาถึงจุดสำคัญตรงที่ว่า เชื้อหวัดได้พัฒนาตัวเองขึ้น ไปจนกระทั่งว่าอาการอื่นๆ เข้ามาผสมอีก เช่น

- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง

- ท้องเดิน

- ปวดตามข้อทั่วตัว

ทั้งนี้ เพราะปรากฏว่าเชื้อจากฝรั่ง ซึ่งคล้ายๆ กับไข้หวัดใหญ่ คือ RICKETTSIA ได้เข้ามาระบาดในเมืองไทย เชื้อนี้เกิดมาจาก มีพวกหมัด เห็บ หรือแมลงมากัดเราเข้า ก็เลยเอาไปผสมกัน จะเห็นว่าอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน และปวดตามข้อจะเกิดเพิ่มมากขึ้นกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สาเหตุอื่นๆ ที่จะทำให้ไข้หวัดใหญ่เป็นหนักขึ้น ก็อยู่ที่ปัจจัยเสริมอีกหลายอย่าง คือ

- ความเครียด

-เหนื่อยหรือทำงานหนักเกินไป

- กินอาหารไม่ถูกต้อง

- เพิ่งหายจากการป่วย

- เป็นโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเกี่ยวกับปอด

ปัจจัยเสริมเหล่านี้ ว่าที่จริงเกือบจะเป็นสาเหตุสำคัญกว่าปัจจัยโดยตรงเสียอีก อย่างเช่นเรื่องความเครียดนั้น เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วย ไม่จำเป็นว่าจะต้องเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่เท่านั้น แต่โรคทุกโรคแม้แต่มะเร็งก็เกิดขึ้น ได้จากความเครียด

เรื่องเหนื่อยหรือทำงานหนักเกินไปก็เหมือนกัน มันพร้อมอยู่แล้วที่ยื่นมือไปรับการเจ็บป่วยชนิดต่างๆ คนที่เหนื่อยหรืออ่อนเพลีย (FATIGUE) จะเป็นคนที่พอๆ กันกับคนเครียด คือเป็นสื่อของการเจ็บป่วยทุกอย่างได้ง่าย

เรื่องของอาหารก็เหมือนกัน ผมได้เคยเขียนในคอลัมน์ นี้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า YOU ARE WHAT YOU EAT คุณกินอะไรก็เป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทเนื้อ นม ไข่ หวานมันมากเกินไป โรคแพ้ โรคเกี่ยวกับระบบหายใจก็จะเป็นได้ง่ายๆ

ส่วนเรื่องการเจ็บป่วยโดยเฉพาะในระยะเวลาที่เพิ่งผ่านมา หรือการเจ็บป่วยเรื้อรังที่เกี่ยวกับโรคปอด เพียงแต่ขยับตัวนิดเดียวก็เป็นหวัดได้ง่าย และการเป็นน้อยแต่ต้นก็จะกลายเป็นการเป็นมากในระยะต่อไป

มีคนแนะนำให้ฉีดวัคซีนกันโรคไข้หวัดใหญ่ แต่ที่ผมทราบมา การพัฒนาเรื่องวัคซีนตามไม่ทันโรคหวัด ซึ่งมีกันหลายชนิด การใช้วัคซีนให้ได้ผลนั้น จะต้องสามารถต้านทานไวรัสไข้หวัดทุกชนิด ในตัวเราได้ซึ่งจะได้ผล

เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ช่วยตัวเองดูแลตนเองให้แข็งแรง พอรู้ว่าอากาศเริ่มเปลี่ยนก็รีบจัดการวงจรชีวิตให้มันถูก กินอาหารให้ถูก พักผ่อนให้มาก ป้องกันโรคเรื้อรังของเราไว้เสียด้วย อย่าปล่อยตัว ปล่อยใจตามเพื่อนตามฝูงไปเป็นอันขาด และก็อากาศเย็นๆ อย่างนี้อีกเหมือนกัน การไปนั่งตามร้านเหล้า กินเหล้ากับเพื่อนฝูงกินอาหารอร่อยๆ นะ อย่าทำเลยนะครับ รับรองว่าพอกลับบ้านคุณก็จะไอโขลกๆ หน้าเขียวหน้าเหลืองไปตามๆ กัน

ถ้าคุณกินเหล้ากับเพื่อนๆ ดินฟ้าอากาศเย็นๆ อย่างนี้ มันช่วยส่งเสริมให้คุณป่วยดีเหลือเกิน ขอร้องนะครับ อย่าริอ่านเป็นอันขาด

นอกไปจากนั้น ถ้ามันทำท่าว่าจะป่วยเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มีลักษณะยุ่งยาก (COMPLICATIONS) คุณต้องสังเกตอาการของคุณอย่างละเอียด จดจำอาการไว้ให้แม่นยำ แล้วไปเล่าให้หมอฟัง

ถ้าเกิดไอโขลกๆ ไข้ขึ้นสูงมาก คุณอาจจะต้องขอให้หมอสั่งตรวจเลือด และตรวจเสมหะดูบ้างก็ได้ อย่าไปดูถูกเป็นอันขาดว่า คุณเป็นหวัดนิดหน่อยไม่เป็นไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีอาการเจ็บหูหรือปวดหูประกอบด้วย หรือหลอดลมอักเสบ หรือทำท่าจะเป็นนิวมอเนีย ต้องรีบไปหาหมอโดยเร็วครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป

แต่ถ้าคุณไม่เป็นอะไรมาก ก็ขอแนะนำอีกอย่างหนึ่งคือ การจับหวัด แบบคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า เคยทำให้เรา

ต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาหัวหอมทุบสักกำมือหนึ่งเข้าไปในห้องน้ำ ผสมน้ำอุ่นๆ พอสมควร โกรกหัวให้น้ำหมดถังเลย ประเดี๋ยวเดียวคุณจะจมูกโล่ง หายใจโล่ง หน้าตาใสสดเป็นคนละคนเลยทีเดียว

หรือถ้าจมูกมันคัดมากนัก ก็ลองเอาเกลือผสมน้ำอุ่น เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 ลิตร เอากลั้วคอแล้ว ก็เอาหลอดดูดน้ำเกลือหยอดในจมูกสัก 2-3 หยดจะสบายขึ้น

ถ้าหากว่าคุณมีเครื่องเป่าไอชื้น (HUMIDIFIER) ก็ลองอยู่ในห้อง เปิดเครื่องแล้วหายใจเข้าสักพักก็พอ จะช่วยให้หายใจได้คล่องขึ้นเหมือนกัน

ถ้าเผื่อว่าคุณไปหาหมอ และหมอท่านสั่งยาแอนตี้ไบโอติคหรือปฏิชีวนะให้ ต้องถามท่านให้ละเอียดนะว่ากินอย่างไร กินเมื่อไหร่

ส่วนเรื่องปวดข้อ ปวดข้อต่อนั้น ก็ควรถามหมอท่านอีกเหมือนกัน ท่านคงจะสั่งยาแก้ปวดให้แน่ๆ

เหลือนอกนั้นคือเรื่องพัก เสียดายนะครับที่บทความชิ้นนี้ออกมาหลังวันหยุดยาว ถ้าไม่เช่นนั้น เวลาไม่สบายจากไข้หวัดเช่นนี้ ผมอยากจะให้คุณพักจริงๆ ส่วนมากเวลาเป็นไข้หวัด มู้ดของเรามักจะไม่ดี ไม่อยากพบใคร เพราะฉะนั้นถ้าเก็บตัวอยู่กับบ้าน นอนอ่านหนังสือได้ก็จะดีมาก ไม่มีใครมากวนใจ และไม่ไปแพร่เชื้อให้ใครด้วย

ส่วนถ้าการปวดข้อปวดหลังปวดตัว เกิดมีมาประกอบอาการไข้หวัดใหญ่มากๆ นั้น อาจจะมีโรคอื่นๆ มาผสมเช่นอาไทรทิส หรือวิคเคทเซีย หรือถ้ามีการเจ็บคอมากๆ จนแทบทนไม่ได้ อาจจะมีเชื้อ STRETOCOCCUS หรือ STREP THROAT

คงต้องปรึกษากับหมอนะครับ เพราะโรคเช่นนี้ ทำให้กระจายไปยังระบบหายใจของเรา และเชื้อมันจะอยู่ประจำกับเราเลย และอาจจะยาวยืดไปยุ่งกับหัวใจของเราได้

ต้องพักและต้องไปหาหมอแน่นอน และก็ต้องเช็กให้แน่นอนครับ

ส่วนการปฏิบัติด้วยตัวเอง ด้วยการพัก การกินอาหารให้ถูกต้องนั้น ทำได้เลยนะครับ ไม่ต้องรอ

ทำแล้ว คุณจะรู้สึกว่า อาการป่วยของคุณหายเร็วกว่าเก่าด้วย.

สาทิส อินทรกำแหง



        back to homepage
 

                                                                                                                                                                        6    7     8