|
เรื่องระเด่นลันไดเป็นหนังสือแต่งในรัชกาลที่๓
เล่ากันมาว่าครั้งนั้นมีแขกคนหนึ่งชื่อลันได
ทำนองจะเป็นพวกฮินดู ชาวอินเดีย
ซัดเซพเนจรเข้ามาอาศัยอยู่ที่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ในกรุงเทพฯ
เที่ยวสีซอขอทานเขาเลี้ยงชีพเป็นนิจ
พูดภาษาไทยก็มิใคร่ได้ หัดร้องเพลงขอทานได้เพียงว่า
"สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใคร
บอกใครก็บอกใคร" ร้องทวนอยู่แต่เท่านี้
แขกลันไดเที่ยวขอทานจนคนรู้จักกันโดยมาก
ในครั้งนั้นมีแขกอีกคนหนึ่ง เรียกกันว่าแขกประดู่
ทำนองก็จะเป็นชาวอินเดียเหมือนกัน
ตั้งคอกเลี้ยงวัวนมอยู่ที่หัวป้อม
( อยู่ราวที่สนามหน้าศาลสถิตยุติธรรมทุกวันนี้
) มีภรรยาเป็นหญิงแขกมลายู
ชื่อประแดะ อยู่มาแขกลันไดกับแขกประดู่เกิดวิวาทกันด้วยเรื่องแย่งหญิงมลายูนั้น
โดยทำนองที่กล่าวในเรื่องละคร
คนทั้งหลายเห็นเป็นเรื่องขบขันก็โจษกันแพร่หลาย
พระมหามนตรี(ทรัพย์)ทราบเรื่อง
จึงคิดแต่งเป็นบทละครขึ้น
พระมหามนตรี(ทรัพย์)นี้เป็นกวีที่สามารถในกระบวนแต่งกลอนแปด
จะหาตัวเปรียบได้โดยยาก แต่มามีชื่อเสียงโด่งดังในการแต่งกลอนต่อเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว
เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ไม่ใคร่พอใจแต่งโดยเปิดเผย
หนังสือซึ่งพระมหามนตรี(ทรัพย์)ได้ออกหน้าแต่งมีปรากฏแต่โคลงฤาษีดัดตนบท๑
กับเพลงยาวกลบทชื่อกบเต้นสามดอน(ซึ่งขึ้นต้นว่า
"เจ็บคำจำคิดจิตขวย")บท๑เท่านั้น
ที่พระมหามนตรี(ทรัพย์)มีชื่อเสียงสืบต่อมาจนรัชกาลหลังๆเพราะแต่งหนังสืออีก๒เรื่อง
คือ เพลงยาวแต่งว่าพระยามหาเทพ(ทองปาน)เมื่อยังเป็นจมื่นราชามาตย์เรื่อง๑
กับบทละครเรื่องระเด่นลันไดนี้เรื่อง๑
...
ส่วนบทละครเรื่องระเด่นลันได
เหตุที่แต่งเป็นดังอธิบายมาข้างต้น
ถ้าผู้อ่านสังเกตจะเห็นได้ว่าทางสำนวนแต่งดีทั้งกระบวนบทสุภาพ
แลวิธีที่เอาถ้อยคำขบขันเข้าสอดแซมบางแห่งกล้าใช้สำนวนต่ำช้าลงไปให้สมกับตัวบท
แต่อ่านก็ไม่มีที่จะเขินเคอะในแห่งใด
เพราะฉะนั้นจึงเป็นหนังสือซึ่งชอบอ่านกันแพร่หลาย
ตั้งแต่แรกแต่งตลอดมาจนในรัชกาลหลังๆนับถือกันว่าเป้นหนังสือกลอนชั้นเอกเรื่องหนึ่ง
...
( คัดลอกและตัดตอนจาก อธิบายบทละครเรื่องระเด่นลันได
หอพระสมุดวชิรญาณ )
ขอขอบคุณ คุณ j0461 สมาชิก pantip.com มา ณ ที่นี้ครับ ( ดูรายละเอียดท้ายเรื่องครับ )